คลื่นยักษ์สึนามิ
ความสูญเสียครั้งใหญ่ของคนไทย
เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2547 ได้เกิดคลื่นสึนามิครั้งที่รุนแรงมากที่สุดในประวัติศาสตร์ มีผู้คนเสียชีวิตถึงประมาณ 220,000 คน นับเป็นภัยทางธรรมชาติที่มีผู้เสียชีวิตมากเป็นอันดับ 3 ของโลกเท่าที่มีการบันทึกไว้ โดยภัยธรรมชาติที่มีผู้เสียชีวิตมากเป็นอันดับ 1 เกิดจากพายุไซโคลนที่พัดผ่านประเทศบังกลาเทศ เมื่อ พ.ศ. 2513 มีผู้เสียชีวิตประมาณ 300,000 คน
รูปที่ 1 แสดงศูนย์กลางของการเกิดสึนามิในวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2547 ที่มา http://www.nectec.or.th/users/htk/20041226-quake/20041226-complete-1D-wave.jpg |
ในกรณีของประเทศไทย พิบัติภัยจากคลื่นสึนามิได้ก่อให้เกิดความตื่นตระหนก แก่ประชาชนทั่วทั้งประเทศ เพราะมีการสูญเสียทั้งชีวิต และทรัพย์สินของผู้คนเป็นจำนวนมากใน 6 จังหวัดภาคใต้ ที่มีพื้นที่อยู่ติดกับชายฝั่งทะเลอันดามัน คือ ภูเก็ต พังงา ระนอง กระบี่ ตรัง และสตูล โดยเฉพาะที่จังหวัดพังงา กระบี่ และภูเก็ต มีการสูญเสียมากที่สุด
รูปที่ 2 แผนที่แสดงจังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากสึนาม ที่มา http://www.gisthai.org/research/tsunamis/index_map.gif 1) ลำดับเหตุการณ์ของการเกิดคลื่นสึนามิ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2547 |
- เวลา 07:59 น. ตามเวลาในประเทศไทย ได้เกิดแผ่นดินไหว มีศูนย์กลางอยู่ที่บริเวณนอกฝั่งด้านตะวันตก ทางตอนเหนือของเกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย ลึกลงไปในแผ่นดินประมาณ 30 กิโลเมตร มีขนาดความรุนแรง 9.0 ตามมาตราริกเตอร์ นับเป็นแผ่นดินไหว ครั้งรุนแรงที่สุดที่เกิดขึ้นในทะเลอันดามัน และรุนแรงมากเป็นอันดับ 5 ของโลก นับตั้งแต่ พ.ศ. 2500 เป็นต้นมา
1. ไปยังชายฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะสุมาตรา
2. ไปยังตอนเหนือของมาเลเซีย ตอนใต้ของไทย
3. ชายฝั่งประเทศพม่าและบังคลาเทศ
4. ผ่านหมู่เกาะอันดามันและหมู่เกาะนิโคบาร์ (อินเดีย)
5. ชายฝั่งของรัฐทมิฬนาฑู (อินเดีย)
6. ศรีลังกาและผ่านมหาสมุทรอินเดียไปถึงหมู่เกาะมัลดีฟส์
7. ชายฝั่งตะวันออกของทวีปแอฟริกา
- หลังจากเกิดแผ่นดินไหวไม่นาน ได้เกิดคลื่นสึนามิเคลื่อนตัวเข้าสู่ฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือสุดของเกาะสุมาตรา ในจังหวัดอาเจะห์ ความสูงและความรุนแรงของคลื่นทำให้เมือง และชุมชนตามชายฝั่งถูกทำลายอย่างกว้างขวาง มีผู้เสียชีวิตรวมกันทั้งหมดมากกว่า 150,000 คน นับเป็นการสูญเสียชีวิตของผู้คนจากภัยธรรมชาติครั้งใหญ่ที่สุด ในประเทศอินโดนีเซีย
- เวลาประมาณ 10:00 น. คลื่นสึนามิได้เริ่มเคลื่อนตัวมายังชายฝั่งตะวันตกของคาบสมุทรมลายู ซึ่งอยู่ห่างจากจุดศูนย์กลางแผ่นดินไหวประมาณ 500 - 600 กิโลเมตร ก่อให้เกิดความเสียหาย ในบริเวณชายฝั่งตอนเหนือของประเทศมาเลเซีย และภาคใต้ของไทย มีผู้เสียชีวิตที่เกาะปีนัง ในประเทศมาเลเซีย ประมาณ 70 คน และใน 6 จังหวัดภาคใต้ของไทย คือ จังหวัดสตูล ตรัง กระบี่ พังงา ภูเก็ต และระนอง รวมกัน ประมาณ 5,400 คน
- คลื่นสึนามิส่วนหนึ่งเคลื่อนตัวต่อขึ้นไปทางเหนือจนถึงชายฝั่งของประเทศพม่า และประเทศบังกลาเทศ ซึ่งอยู่ห่างจากจุดศูนย์กลางแผ่นดินไหวประมาณ 1,500 – 1,700 กิโลเมตร มีผู้เสียชีวิตที่บริเวณปากแม่น้ำอิรวดี ของประเทศพม่า ประมาณ 60 คน
- คลื่นสึนามิส่วนที่เคลื่อนตัวจากเกาะสุ-มาตรามุ่งไปทางตะวันตก เคลื่อนที่ผ่านหมู่เกาะอันดามันและหมู่เกาะนิโคบาร์ ซึ่งเป็นดินแดนของประเทศอินเดียกลางทะเลอันดามัน ต่อไปถึงชายฝั่งของรัฐทมิฬนาฑู และทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศอินเดีย มีผู้เสียชีวิตที่หมู่เกาะอันดามันและหมู่เกาะนิโคบาร์ประมาณ 900 คน และที่รัฐทมิฬนาฑู ประมาณ 8,000 คน
- ส่วนในประเทศศรีลังกา มีผู้เสียชีวิตประมาณ 40,000 คน คลื่นสึนามิได้เคลื่อนตัวผ่านมหาสมุทรอินเดียไปถึงหมู่เกาะมัลดีฟส์ ได้รับความเสียหายมาก มีรายงานผู้เสียชีวิตประมาณ 82 คน
- คลื่นสึนามิส่วนหนึ่งยังคงเคลื่อนตัวต่อไปจนถึงชายฝั่งตะวันออกของทวีปแอฟริกา แม้จะอ่อนกำลังบ้างแล้ว มีผู้เสียชีวิตที่ประเทศโซมาเลีย ประมาณ 300 คน และที่ประเทศเคนยา 1 คน
นักธรณีวิทยาให้ความเห็นว่า คลื่นสึนามิที่เกิดขึ้นในทะเลอันดามันครั้งนี้ มีสาเหตุมาจาก แผ่นเปลือกโลกอินเดีย ขยับตัวเลื่อนมาทางทิศตะวันออก และมุดลงใต้ขอบแผ่นเปลือกโลกยูเรเชีย ทำให้เกิดแผ่นดินไหวตามแนวรอยต่อ ของแผ่นเปลือกโลก ซึ่งมีลักษณะเป็นรอยเลื่อน (fault) ขนาดใหญ่เป็นแนวยาว ตั้งแต่ทางตะวันออกของพม่า และตะวันตกของไทย ลงไปตามแนวของหมู่เกาะอันดามัน และหมู่เกาะนิโคบาร์ จนถึงทางเหนือของเกาะสุ-มาตรา และเนื่องจากแผ่นดินไหวมีความรุนแรงมากถึงระดับ 9.0 ตามมาตราริกเตอร์ จึงเกิดเป็นคลื่นสึนามิ
3. มีการพัฒนาแผนการเอาตัวรอดจากสึนามิ ร่วมกับชุมชน และหน่วยงานท้องถิ่น
4. ระดมความคิดเพื่อหาแนวทางการวางแผนในการอพยพ ดำเนินการฝึกซ้อมตามแผนการปฏิบัติเพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าสมาชิกในชุมชนมีความเข้าใจแผนการที่ตรงกัน รวมทั้งแนวทางการช่วยเหลือคนป่วย และคนพิการได้
5. ตรวจสอบสัญญาณการเตือนภัยอยู่เสมอ และมีการแจกคู่มือ ในชุมชน ฝึกตัวเองให้เป็นคนช่างสังเกตสิ่งรอบข้างอยู่เสมอ เช่น การลดลงของระดับน้ำทะเลอย่างรวดเร็ว เป็นสัญญาณเตือนภัยว่ากำลังจะมีคลื่นสึนามิตามมา
6. ใส่ใจต่อคำเตือนของชุมชน และหน่วยงานภาครัฐที่มีการแจ้งเตือนล่วงหน้า พร้อมกับเตรียมอพยพตามแผนการของชุมชนที่เตรียมไว้ การปฏิบัติ รีบออกห่างจากบริเวณชายฝั่งให้เร็วที่สุด และหนีขึ้นที่สูง เช่นภูเขาสูง ให้พยายามมองหาที่สูงและต้องมีความแข็งแรงคงทน เช่น บ้าน อาคาร เท่าที่จะสามารถทำได้
7. ในกรณีที่ไม่สามารถทำตามวิธีที่แนะนำเบื้องต้นได้แล้ว ทางเลือกที่ดีที่สุดคือมองหาต้นไม้ที่สูงและมีความแข็งแรงต้องปีนขึ้นไปให้สูงที่สุด หากพบว่าตัวเองหนีไม่ทันและกำลังจะจมน้ำให้มองหาสิ่งที่สามารถลอยน้ำได้และเกาะไว้ให้แน่น
8. เมื่อได้รับทราบการแจ้งเตือน หยิบเฉพาะชุดอุปกรณ์ที่เตรียมไว้เท่านั้น ให้จำไว้เสมอว่า ชีวิตมีค่าที่สุด อยู่ในที่ปลอดภัยจนกว่าจะแน่ใจว่าทุกอย่างสงบแล้ว
9. อย่าเชื่อคำพูดปากต่อปาก รอฟังประกาศจากหน่วยงานท้องถิ่น และภาครัฐเท่านั้น
(1) การดำเนินการในช่วงก่อนเกิดเหตุ แม้ว่ากระทรวงสาธารณสุขจะมีแผนเตรียมความพร้อม ด้านการแพทย์ และสาธารณสุขในภาวะฉุกเฉิน จัดทำไว้ปี 2543 แต่ก็พบว่า การซ้อมแผนเต็มรูปแบบน้อยมาก นอกจากนี้ยังพบว่าผลจากการปฏิรูปโครงสร้าง ของกระทรวงสาธารณสุขครั้งล่าสุด ทำให้ไม่มีหน่วยงานทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคที่จะรับผิดชอบในการดำเนินงานอย่างชัดเจน เมื่อเกิด ต้องอาศัยการตัดสินใจของผู้บริหารระดับสูง และระดมสรรพกำลังจากหน่วยงานต่างๆ อีกทั้งยังไม่เคยมีการกำหนดพื้นที่เสี่ยงภัย พื้นที่รองรับการอพยพและระบบการช่วยเหลือ เคลื่อนย้าย และระบายผู้บาดเจ็บ และศพผู้เสียชีวิตที่มีจำนวนมากเช่นนี้มาก่อน จึงทำให้ไม่มีประสิทธิภาพ
(2) การดำเนินงานในระยะวิกฤติ (48 ชั่วโมงหลังเกิดเหตุ)
เป็นระยะที่มีผู้ประสบภัยได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก สถานพยาบาลใกล้ที่เกิดเหตุจะต้องรับภาระในการปฐมพยาบาล ผ่าตัดเล็ก ผ่าตัดใหญ่ สถานพยาบาล เริ่มมีปัญหา จากจำนวนผู้ป่วยที่มีมาก และผู้ให้บริการรักษาพยาบาลมีความเหนื่อยล้า
- http://kanchanapisek.or.th/kp6/sub/book/book.php?book=30&
chap=8&page=t30-8-infodetail05.html
(สืบค้นเมื่อ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2559)
- เวลาประมาณ 10:00 น. คลื่นสึนามิได้เริ่มเคลื่อนตัวมายังชายฝั่งตะวันตกของคาบสมุทรมลายู ซึ่งอยู่ห่างจากจุดศูนย์กลางแผ่นดินไหวประมาณ 500 - 600 กิโลเมตร ก่อให้เกิดความเสียหาย ในบริเวณชายฝั่งตอนเหนือของประเทศมาเลเซีย และภาคใต้ของไทย มีผู้เสียชีวิตที่เกาะปีนัง ในประเทศมาเลเซีย ประมาณ 70 คน และใน 6 จังหวัดภาคใต้ของไทย คือ จังหวัดสตูล ตรัง กระบี่ พังงา ภูเก็ต และระนอง รวมกัน ประมาณ 5,400 คน
- คลื่นสึนามิส่วนหนึ่งเคลื่อนตัวต่อขึ้นไปทางเหนือจนถึงชายฝั่งของประเทศพม่า และประเทศบังกลาเทศ ซึ่งอยู่ห่างจากจุดศูนย์กลางแผ่นดินไหวประมาณ 1,500 – 1,700 กิโลเมตร มีผู้เสียชีวิตที่บริเวณปากแม่น้ำอิรวดี ของประเทศพม่า ประมาณ 60 คน
- คลื่นสึนามิส่วนที่เคลื่อนตัวจากเกาะสุ-มาตรามุ่งไปทางตะวันตก เคลื่อนที่ผ่านหมู่เกาะอันดามันและหมู่เกาะนิโคบาร์ ซึ่งเป็นดินแดนของประเทศอินเดียกลางทะเลอันดามัน ต่อไปถึงชายฝั่งของรัฐทมิฬนาฑู และทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศอินเดีย มีผู้เสียชีวิตที่หมู่เกาะอันดามันและหมู่เกาะนิโคบาร์ประมาณ 900 คน และที่รัฐทมิฬนาฑู ประมาณ 8,000 คน
- ส่วนในประเทศศรีลังกา มีผู้เสียชีวิตประมาณ 40,000 คน คลื่นสึนามิได้เคลื่อนตัวผ่านมหาสมุทรอินเดียไปถึงหมู่เกาะมัลดีฟส์ ได้รับความเสียหายมาก มีรายงานผู้เสียชีวิตประมาณ 82 คน
- คลื่นสึนามิส่วนหนึ่งยังคงเคลื่อนตัวต่อไปจนถึงชายฝั่งตะวันออกของทวีปแอฟริกา แม้จะอ่อนกำลังบ้างแล้ว มีผู้เสียชีวิตที่ประเทศโซมาเลีย ประมาณ 300 คน และที่ประเทศเคนยา 1 คน
รูปที่ 3 แสดงแผ่นเปลือกโลกอินเดียเลื่อนตัวมาทางทิศตะวันออก
และมุดลงใต้ขอบแผ่นเปลือกโลกยูเรเซีย
ที่มา http://www.geothai.net/wp-content/uploads/2012/05/GeoThai
_media_Sumatra-BigEQ.png |
นักธรณีวิทยาให้ความเห็นว่า คลื่นสึนามิที่เกิดขึ้นในทะเลอันดามันครั้งนี้ มีสาเหตุมาจาก แผ่นเปลือกโลกอินเดีย ขยับตัวเลื่อนมาทางทิศตะวันออก และมุดลงใต้ขอบแผ่นเปลือกโลกยูเรเชีย ทำให้เกิดแผ่นดินไหวตามแนวรอยต่อ ของแผ่นเปลือกโลก ซึ่งมีลักษณะเป็นรอยเลื่อน (fault) ขนาดใหญ่เป็นแนวยาว ตั้งแต่ทางตะวันออกของพม่า และตะวันตกของไทย ลงไปตามแนวของหมู่เกาะอันดามัน และหมู่เกาะนิโคบาร์ จนถึงทางเหนือของเกาะสุ-มาตรา และเนื่องจากแผ่นดินไหวมีความรุนแรงมากถึงระดับ 9.0 ตามมาตราริกเตอร์ จึงเกิดเป็นคลื่นสึนามิ
2) ขั้นตอนการเอาตัวรอดจากสึนามิ 1. ควรศึกษาหาข้อมูล เกี่ยวกับอันตรายที่มาจากสึนามิไว้ล่วงหน้า ซึ่งมีความสำคัญมาก โดยเฉพาะประชาชนที่อาศัยอยู่ในบริเวณที่มีความเสี่ยงจะเกิดสึนามิ เช่น บ้าน โรงเรียน สถานที่ทำงานอยู่ติดกับชายฝั่งทะเล
2. มีการเตรียมความพร้อมล่วงหน้า หากข้อมูลที่ค้นหา บ่งชี้ว่าพื้นที่บริเวณที่คุณอาศัย มีความเสี่ยงต่อการเกิดสึนามิขึ้นได้ เตรียมอุปกรณ์เอาตัวรอดไว้ เช่น อาหาร น้ำ ชุดปฐมพยาบาลเบื้องต้น เตรียมไว้ในที่ซึ่งสามารถหยิบใช้ได้ง่าย
3. มีการพัฒนาแผนการเอาตัวรอดจากสึนามิ ร่วมกับชุมชน และหน่วยงานท้องถิ่น
4. ระดมความคิดเพื่อหาแนวทางการวางแผนในการอพยพ ดำเนินการฝึกซ้อมตามแผนการปฏิบัติเพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าสมาชิกในชุมชนมีความเข้าใจแผนการที่ตรงกัน รวมทั้งแนวทางการช่วยเหลือคนป่วย และคนพิการได้
5. ตรวจสอบสัญญาณการเตือนภัยอยู่เสมอ และมีการแจกคู่มือ ในชุมชน ฝึกตัวเองให้เป็นคนช่างสังเกตสิ่งรอบข้างอยู่เสมอ เช่น การลดลงของระดับน้ำทะเลอย่างรวดเร็ว เป็นสัญญาณเตือนภัยว่ากำลังจะมีคลื่นสึนามิตามมา
6. ใส่ใจต่อคำเตือนของชุมชน และหน่วยงานภาครัฐที่มีการแจ้งเตือนล่วงหน้า พร้อมกับเตรียมอพยพตามแผนการของชุมชนที่เตรียมไว้ การปฏิบัติ รีบออกห่างจากบริเวณชายฝั่งให้เร็วที่สุด และหนีขึ้นที่สูง เช่นภูเขาสูง ให้พยายามมองหาที่สูงและต้องมีความแข็งแรงคงทน เช่น บ้าน อาคาร เท่าที่จะสามารถทำได้
7. ในกรณีที่ไม่สามารถทำตามวิธีที่แนะนำเบื้องต้นได้แล้ว ทางเลือกที่ดีที่สุดคือมองหาต้นไม้ที่สูงและมีความแข็งแรงต้องปีนขึ้นไปให้สูงที่สุด หากพบว่าตัวเองหนีไม่ทันและกำลังจะจมน้ำให้มองหาสิ่งที่สามารถลอยน้ำได้และเกาะไว้ให้แน่น
8. เมื่อได้รับทราบการแจ้งเตือน หยิบเฉพาะชุดอุปกรณ์ที่เตรียมไว้เท่านั้น ให้จำไว้เสมอว่า ชีวิตมีค่าที่สุด อยู่ในที่ปลอดภัยจนกว่าจะแน่ใจว่าทุกอย่างสงบแล้ว
9. อย่าเชื่อคำพูดปากต่อปาก รอฟังประกาศจากหน่วยงานท้องถิ่น และภาครัฐเท่านั้น
รูปที่ 4 หอกระจายข่าว
ที่มา http://img.tnews.co.th/large/tnews_1432881086_5931.jpg
|
(1) การดำเนินการในช่วงก่อนเกิดเหตุ แม้ว่ากระทรวงสาธารณสุขจะมีแผนเตรียมความพร้อม ด้านการแพทย์ และสาธารณสุขในภาวะฉุกเฉิน จัดทำไว้ปี 2543 แต่ก็พบว่า การซ้อมแผนเต็มรูปแบบน้อยมาก นอกจากนี้ยังพบว่าผลจากการปฏิรูปโครงสร้าง ของกระทรวงสาธารณสุขครั้งล่าสุด ทำให้ไม่มีหน่วยงานทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคที่จะรับผิดชอบในการดำเนินงานอย่างชัดเจน เมื่อเกิด ต้องอาศัยการตัดสินใจของผู้บริหารระดับสูง และระดมสรรพกำลังจากหน่วยงานต่างๆ อีกทั้งยังไม่เคยมีการกำหนดพื้นที่เสี่ยงภัย พื้นที่รองรับการอพยพและระบบการช่วยเหลือ เคลื่อนย้าย และระบายผู้บาดเจ็บ และศพผู้เสียชีวิตที่มีจำนวนมากเช่นนี้มาก่อน จึงทำให้ไม่มีประสิทธิภาพ
รูปที่ 6 ป้ายคำเตือนพื้นที่เสี่ยง
(2) การดำเนินงานในระยะวิกฤติ (48 ชั่วโมงหลังเกิดเหตุ)
เป็นระยะที่มีผู้ประสบภัยได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก สถานพยาบาลใกล้ที่เกิดเหตุจะต้องรับภาระในการปฐมพยาบาล ผ่าตัดเล็ก ผ่าตัดใหญ่ สถานพยาบาล เริ่มมีปัญหา จากจำนวนผู้ป่วยที่มีมาก และผู้ให้บริการรักษาพยาบาลมีความเหนื่อยล้า
ความรวดเร็วของทีมงาน EMS (Emergency Medical Service) ที่เดินทางไปให้บริการฉุกเฉินได้ภายในเวลาไม่เกิน 6 ชั่วโมงหลังเกิดเหตุส่วนกลางมีการจัดตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราวเพื่อให้ผู้ประสบภัยได้พำนัก และเปิดเป็นศูนย์ประสานงาน เพื่อช่วยเหลือติดตาม และให้ข่าวสารข้อมูลผู้ประสบภัยที่กรุงเทพฯ ประเมินสถานการณ์ให้ได้คาดการณ์สถานการณ์ ที่จะเกิดขึ้น และส่งต่อข้อมูลให้ผู้มีอำนาจสั่งการ วางแผน และ ประสานงาน
รูปที่ 7 แสดงความวุ่นวายขณะเกิดภัยพิบัติ ที่มา http://www.ohochill.com/wp-content/uploads/2015/12/936302-img.rm04dg.4wahs.jpg |
(3) การดำเนินการระยะหลังวิกฤติ (2 วัน ถึง 7 วัน หลังเกิดเหตุ)
ส่งต่อผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาลที่มีความพร้อม และมีระดับการให้บริการเฉพาะด้านที่จำเป็นต่อผู้ประสบเหตุ เริ่มเข้าสู่ระบบการรักษาอย่างต่อเนื่อง สึนามิในครั้งนี้ ทำให้ต้องเรียนรู้และสรุปบทเรียน ระบบการจัดการกับศพที่ดี ด้วยวิธีการและมาตรฐาน ที่เป็นที่ยอมรับได้ ในระดับสากล โดยเฉพาะเมื่อมีการอพยพประชาชนมาอยู่อาศัยร่วมกันจำนวนมากตามศูนย์อพยพที่พักพิงชั่วคราว ช่วยเหลือสนับสนุนและอำนวยการให้มีน้ำดื่ม น้ำใช้ที่สะอาด และระบบการสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อมที่ดี รวมถึงการมีทีมเฝ้าระวังโรค ระบาดวิทยา และจัดให้มีหน่วยปฏิบัติการพิเศษ เพื่อให้การช่วยเหลือสนับสนุนและประสานงาน ช่วยแก้ไขปัญหา และเฝ้าเตือน ให้มีการตระหนักในความสำคัญของการรักษาความสะอาดและสุขลักษณะอยู่เสมอ
ส่งต่อผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาลที่มีความพร้อม และมีระดับการให้บริการเฉพาะด้านที่จำเป็นต่อผู้ประสบเหตุ เริ่มเข้าสู่ระบบการรักษาอย่างต่อเนื่อง สึนามิในครั้งนี้ ทำให้ต้องเรียนรู้และสรุปบทเรียน ระบบการจัดการกับศพที่ดี ด้วยวิธีการและมาตรฐาน ที่เป็นที่ยอมรับได้ ในระดับสากล โดยเฉพาะเมื่อมีการอพยพประชาชนมาอยู่อาศัยร่วมกันจำนวนมากตามศูนย์อพยพที่พักพิงชั่วคราว ช่วยเหลือสนับสนุนและอำนวยการให้มีน้ำดื่ม น้ำใช้ที่สะอาด และระบบการสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อมที่ดี รวมถึงการมีทีมเฝ้าระวังโรค ระบาดวิทยา และจัดให้มีหน่วยปฏิบัติการพิเศษ เพื่อให้การช่วยเหลือสนับสนุนและประสานงาน ช่วยแก้ไขปัญหา และเฝ้าเตือน ให้มีการตระหนักในความสำคัญของการรักษาความสะอาดและสุขลักษณะอยู่เสมอ
ภาพที่ 8,9,10 แสดงการจัดการจัดการศพผู้เสียชีวิต
ที่มา http://www.ohochill.com/wp-content/uploads/2015/12/936302-img.rm04dg.bo9h3.jpg
(4) ระยะฟื้นฟูบูรณะ (8 วัน ถึง 3 เดือน หลังเกิดเหตุ)
ลักษณะการดำเนินงานทั่วไป ยังคงเป็น การให้บริการรักษาพยาบาลแก่ผู้บาดเจ็บรุนแรงอย่างต่อเนื่อง งานส่วนใหญ่ที่เป็นภาระคือการตรวจพิสูจน์ศพและการส่งมอบศพ ให้ญาติมารับไปดำเนินการทางศาสนา และเฝ้าระวังโรค และจัดการด้านสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อม เช่น เรื่องน้ำดื่ม น้ำใช้ ส้วม การสูบล้างบ่อน้ำ และคัดแยก เก็บขยะมูลฝอย จัดการกับยา และอุปกรณ์ทางการแพทย์ ที่ได้รับบริจาค เพื่อนำมาใช้งาน ต่อไป
ลักษณะการดำเนินงานทั่วไป ยังคงเป็น การให้บริการรักษาพยาบาลแก่ผู้บาดเจ็บรุนแรงอย่างต่อเนื่อง งานส่วนใหญ่ที่เป็นภาระคือการตรวจพิสูจน์ศพและการส่งมอบศพ ให้ญาติมารับไปดำเนินการทางศาสนา และเฝ้าระวังโรค และจัดการด้านสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อม เช่น เรื่องน้ำดื่ม น้ำใช้ ส้วม การสูบล้างบ่อน้ำ และคัดแยก เก็บขยะมูลฝอย จัดการกับยา และอุปกรณ์ทางการแพทย์ ที่ได้รับบริจาค เพื่อนำมาใช้งาน ต่อไป
รูปที่ 11 การขุดหลุมฝังร่างผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์สึนามิ
http://www.ohochill.com/wp-content/uploads/2015/12/936302-img.rm04dg.jk47n.jpg
รูปที่ 12 ภาพแสดงการเก็บกวาดพื้นที่ประสบภัย ที่มา http://www.ohochill.com/wp-content/uploads/2015/12/936302-img.rm04dg.8aert.jpg |
4) ความเสียหาย
ความเสียหายด้านเศรษฐกิจ
ด้านเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คือ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว โดยจังหวัดที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คือ จังหวัดภูเก็ต พังงา และกระบี่ ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวเสียชีวิต และบาดเจ็บมากที่สุด มีแหล่งท่องเที่ยวได้รับความเสียหายมาก จำนวน 8 แห่ง เช่น เกาะสิมิลัน จังหวัดพังงา, หาดป่าตอง จังหวัดภูเก็ต, และเกาะพีพีจังหวัดกระบี่
รูปที่ 13 ภาพแสดงพื้นที่ประสบภัยหลังเกิดเหตุการณ์สึนามิ ที่มาhttp://cms.toptenthailand.net/file/picture/20160419145437181/20160419145437181.jpg |
เหตุการณ์ในครั้งนี้ยังทำให้ คุณพุ่ม เจนเซน พระราชนัดดาใน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระโอรสใน ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ถึงแก่อนิจกรรมขณะที่เล่นเจ็ตสกีอยู่ที่ชายหาดโรงแรมมันดะเลย์รีสอร์ต บ้านเขาหลัก อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา โดยได้พบศพเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม ข้างแท็งก์น้ำหลังโรงแรมลาฟลอร่า ตำบลคึกคัก อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา ห่างจากสถานที่ที่คุณพุ่มเล่นเจ็ตสกี 100 เมตร เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้องครักษ์ 4 คน และมนุษย์กบที่ถวายการอารักขาหายไป 2 คน ในส่วนพระองค์ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดีทรงปลอดภัยดีส่วนคุณสิริกิติยา เจนเซนนั้นบาดเจ็บที่ขา
สองพระหัตถ์พระราชบิดาซับน้ำตา
ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญาฯ
การจากไปของคุณพุ่ม ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญาฯ หัวใจแทบสลาย คุณพุ่ม เจนเซน ถึงแก่อนิจกรรมจากเหตุการณ์ธรณีพิบัติสึนามิ ที่เขาหลัก จังหวัดพังงา ด้วยวัยเพียง 21 ปี 4 เดือน 10 วัน
เมื่อวันเสาร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ.2548 เป็นวันพระราชทานเพลิงศพคุณพุ่ม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินพระราชทานเพลิงศพ คุณพุ่ม เจนเซน ภ.ป.ร.1 ที่วัดเทพศิรินทราวาส กรุงเทพฯ ซึ่งพิธีดังกล่าวได้จัดขึ้นอย่างสมเกียรติ
ในวันงานพระราชทานเพลิงศพคุณพุ่ม แม้เห็นอยู่หลายคราที่ทูลกระหม่อมหญิงทรงมีพระเนตรแดงกร่ำ แต่พระองค์ไม่ทรงร่ำไห้ให้ใครเห็น พระองค์ยังทรงยิ้มทักทายและขอบคุณผู้ที่มาร่วมงานพระราชทานเพลิงศพอยู่ตลอดเวลา
จนกระทั่งเวลา 17.30 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินถึงวัดเทพศิรินทราวาส พร้อมด้วยสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และพระบรมวงศานุวงศ์
ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญาฯ ทรงรอรับเสด็จพร้อมคุณพลอยไพริน และ คุณสิริกิติยา เจนเซน อยู่บริเวณหน้าวัดเทพศิรินทราวาส เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินมาถึง ทั้งสองพระองค์ทรงสวมกอดทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญาฯ
ในช่วงเวลาที่ทั้งสองพระองค์ประทับพระราชอาสน์ ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ได้เข้าเฝ้าฯ พระราชบิดา พระราชมารดา ทั้งสองพระองค์ทรงมีพระราชปฏิสันถารกับทูลกระหม่อมหญิงในลักษณะปลอบโยน เพียงไม่นานทูลกระหม่อมก็ทรงกรรแสงต่อหน้าพระพักตร์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงจับพระอังสา ทรงประคองพระพักตร์ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญาฯ พระองค์ทอดพระเนตรพระธิดาด้วยสายพระเนตรแห่งความห่วงใย
ณ เวลานั้น ข้าราชบริพารซึ่งอยู่ใกล้ชิดเห็นน้ำพระเนตรของทูลกระหม่อมหญิง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงจับพระหัตถ์ทูลกระหม่อมหญิงขึ้นมาประสานกับพระหัตถ์ของพระองค์ พร้อมทรงบีบให้พระหัตถ์แนบกัน พระองค์ทรงทำในลักษณะนั้นอยู่นานพอสมควร และทรงจุมพิตพระนลาฏของทูลกระหม่อม
รูปที่ 16 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงประคองพระพักตร์ ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญาฯ ที่มา https://pbs.twimg.com/media/BebRG0sCUAA6lvz.jpg |
ทูลกระหม่อมหญิงทรงเช็ดน้ำพระเนตร แล้วทรงยิ้มกับทั้งสองพระองค์ จากนั้นทรงลุกขึ้นกราบที่พระอุระพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมทั้งสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ก็ทรงสวมกอดทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญาฯ
ในห้วงเวลาดังกล่าว พสกนิกรที่มาร่วมพระราชพิธีต่างรู้สึกซาบซึ้ง ภาพที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงปลอบทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญาฯ ยิ่งนัก
ภาพที่เห็นอยู่เบื้องหน้าประจักษ์แล้วว่า สองพระหัตถ์ของพระราชบิดา พระราชมารดาเป็นพลังใจสำคัญอย่างยิ่งของทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญาฯ
แม้ในหนังสือที่ระลึกพิธีพระราชทานเพลิงศพ "คุณพุ่ม เจนเซน" ตอนหนึ่ง ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญาฯ จะทรงเขียนไว้ว่า
" แม่ไม่มีกำลังใจที่อยากมีชีวิตอยู่ "
แต่ ณ เวลานั้น ภาพที่พสกนิกรชาวไทยได้เห็น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ คงเป็นกำลังใจสำคัญที่ทำให้ทูลกระหม่อมหญิงเข้มแข็งและมีพลังที่จะทำงานเพื่อคุณพุ่ม ทำงานเพื่อช่วยเหลือสนับสนุนเด็กด้อยโอกาส ช่วยเหลือเด็กที่มีความบกพร่องในการเรียนรู้และพร้อมจะช่วยเหลือบุคคลผู้ประสบภัยต่างๆ ต่อไป
ข้อคิดที่ได้จากการสูญเสียครั้งนี้
ข้อคิดที่ได้จากการสูญเสียครั้งนี้
" แม้จะเสียขวัญ เสียทรัพย์สิน เสียคนที่รัก แต่ชีวิตของคนทุกคนก็ยังคงต้องดำเนินต่อไป เพื่อคนที่ยังมีชีวิตอยู่ และเพื่อตัวเอง แม้จะรู้สึกท้อแท้หรืออ่อนแอแค่ไหน ขอให้จงเข้มแข็ง และเก็บอดีตไว้เป็นบทเรียน "
เอกสารอ้างอิง
- http://kanchanapisek.or.th/kp6/sub/book/book.php?book=30&
chap=8&page=t30-8-infodetail05.html
(สืบค้นเมื่อ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2559)
- http://www.ohochill.com/40289(สืบค้นเมื่อ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2559)
- http://www.guitarthai.com/webboard/question.aspQID=386036
(สืบค้นเมื่อ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2559)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น